สวัสดีครับ วันนี้ผมจะพูดถึงซอฟต์แวร์ระเภทหนึ่งที่เราเองก็สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือซอฟต์แวร์ที่ใช้งานฟรีนั่นเอง โดยซอฟต์แวร์ที่จะพูดถึงมีด้วยกัน 3 แบบคือ Open Source Software Freeware และ Shareware
มาเริ่มกันที่ Open source Software กันก่อนนะครับ
Open Source Software หรือเรียกสั้นๆ ได้ว่า OSS คือกลุ่ม software ที่เปิดเผย source code ของโปรแกรม ทำให้สามารถแก้ไข ดัดแปลง source code ได้หมด ซึ่งเป็นการให้สิทธิเสรีแก่ผู้ที่จะนำไปใช้เพื่อการพัฒนาซอฟต์แวร์ร่วมกันในลักษณะของสังคมซอฟต์แวร์ แต่ OSS จะไม่สามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้
ตัวอย่าง OSS ที่นิยมใช้
– ตระกูล OpenOffice.org
– Mozilla Firefox
– PHP
– MySQL
OpenOffice.org
Mozilla Firefox
สรุปก็คือ OSS เป็นซอฟต์แวร์ที่เราสามารถแก้ไข ดัดแปลง Source Code เองได้ เพื่อการพัฒนาและประยุกต์ให้เข้ากับงานของเรา แต่ซอฟต์แวร์บางตัว ได้กำหนดข้อตกลงกับผู้ที่นำไปใช้หรือพัฒนา ซึ่งเราก็ต้องทำตามข้อตกลงนั้นด้วยเช่นกัน
ต่อมาก็คือ Freeware
Freeware หมายถึง ซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้นและสามารถนำไปใช้ได้ในทุกจุดประสงค์โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องไม่นำไปขายหรือนำไปหารายได้จากโปรแกรมนั้น หรือ(ต้องระวัง)ควรอ่านข้อกำหนดของโปรแกรมนั้นให้ชัดเจนก่อนใช้ เพราะบางครั้งมีข้อจำกัดในการใช้บางอย่าง Freeware สามารถโหลดโปรแกรมได้จากเว็บไซต์ผู้พัฒนาโดยตรง ในการลงโปรแกรมที่เป็น Freeware นั้น อาจจะมีโปรแกรมอื่นๆ แทรกเข้ามาด้วย ซึ่งนั่นคือการช่วยโฆษณาให้กับโปรแกรมเหล่านั้น เป็นการหางบประมาณให้กับผู้พัฒนา Freeware นำไปใช้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ของตนต่อไป
ตัวอย่าง Freeware ที่นิยมใช้
– KMPlayer
– Format Factory
– CPU-Z
– Adobe Reader
KMPlayer
Format Factory
สรุปแล้ว เราสามารถดาวน์โหลด Freeware มาใช้ได้จากเว็บไซต์ผู้พัฒนาโดยตรง แต่ข้อควรระวังคือ ในขั้นตอนการลงโปรแกรม อาจจะมีโปรแกรมตัวอื่นๆ แทรกมาด้วย เราซึ่งเป็นผู้ใช้ก็ต้องสังเกตดีๆ ตอนที่เอาโปรแกรมมาลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา เพราะโปรแกรมบางตัวเมื่อลงไปแล้วอาจสิ้นเปลืองทรัพยากรเครื่องของเราได้ ทั้งที่เราไม่ได้ใช้ประโยชน์จากโปรแกรมเหล่านั้นเลย
และตัวสุดท้ายที่จะพูดถึงก็คือ Shareware
Shareware คือ โปรแกรมประเภทให้ทดลองใช้ ซึ่งจะถูกจำกัดความสามารถบางอย่างไว้ เพื่อให้ผู้บริโภคได้ทดลองใช้โปรแกรม โดยหากสนใจใช้โปรแกรมอย่างครบทุกความสามารถ ก็ต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อโปรแกรมเวอร์ชั่นสมบูรณ์จากบริษัทผู้พัฒนา ข้อดีของโปรแกรมประเภท Shareware คือ ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเสียเงินก็สามารถใช้โปรแกรมได้ เมื่อพอใจจึงตัดสินใจซื้อ ส่วนด้านเจ้าของโปรแกรมก็ถือเป็นการแนะนำสินค้าที่ดีวิธีหนึ่ง
ลักษณะของโปรแกรมประเภท Shareware คือ
1.มักจะให้ใช้งานได้แค่ 30 วัน ซึ่งเป็นเวอร์ชั่น Trial ที่ให้ดาวน์โหลดมาทดลองใช้ได้ฟรี
2.ไม่มีความสามารถเสริม บางประการ ต่างกับ โปรแกมเวอร์ชั่นสมบูรณ์ที่มีความสามารถครบ
3.ในการใช้งานโปรแกรมไปสักระยะหนึ่ง มักจะมีข้อความ ประมาณว่าถามหา license ของโปรแกรม หลังการเปิดโปรแกรม เป็นต้น
ตัวอย่าง Shareware ที่นิยมใช้
– IDM(Internet Download Manager)
– DAEMON Tools
– ตระกูล Adobe
– ESET Smart Security
Internet Download Manager
DAEMON Tools
สรุปแล้วทั้ง OSS Freeware และ Shareware ต่างก็เป็นซอฟต์แวร์ที่เราสามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้ฟรีทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ต้องคำนึงถึงลิขสิทธิ์ของแต่ละซอฟต์แวร์ด้วย เพราะลิขสิทธิ์จะเป็นตัวกำหนดขอบเขตหรือข้อตกลงในการใช้ซอฟต์แวร์นั้นๆ เพราะถ้าเรานำซอฟต์แวร์ไปใช้นอกเหนือขอบเขตที่ทางผู้พัฒนาได้กำหนดไว้ จะถือว่าเราได้ละเมิดลิขสิทธิ์ ทางผู้พัฒนามีสิทธิ์ที่จะดำเนินคดีกับเราได้ ฉะนั้นเมื่อเราดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ตัวไหนมา เราก็ควรจะดูข้อกำหนดการใช้ การเผยแพร่ซอฟต์แวร์เหล่านั้นด้วย เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ และไม่ทำให้ตัวเราเองต้องเดือดร้อนเพราะความประมาทด้วยเช่นกัน
ขอบคุณครับ
ที่มาของเนื้อหา